เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
สุพรรณบุรี, Thailand
ผู้หญิงอายุเยอะ น้ำหนักมาก รักแมว ชอบเที่ยวป่า ดูนก แต่ไม่ตกปลา เกิดที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี เป็นลูกคนแรกที่แม่ไปคลอดที่โรงพยาบาล โดยไม่ผ่านมือหมอตำแย เป็นคนสุพรรณฯ เลือดร้อย เรียนอนุบาลและป.1 ที่โรงเรียนอนุบาลเสริมศึกษา(ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว) ป.2-7 ที่โรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ(ปัจจุบันคือโรงเรียนสุพรรณภูมิ ม.ศ.1-5 ที่โรงเรีงเรียนสงวนหญิง คบ.เอกเกษตรศาสตร์ จากวิทยาลัยครูพระนคร ศศบ. สารนิเทศาสตร์ จาก มสธ. กศม. การศึกษาผู้ใหญ่ จาก มศว. ปรด. จะจบหรือเปล่าไม่รู้ ที่ไหนยังไม่บอก เดี๋ยวจะทำสถาบันเสื่อมเสีย

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เชิญชวนส่งโครงการเพื่อช่วยเยียวยาผู้ประสบภัย

กลุ่ม Be Kind ขอเชิญชวนเยาวชน ส่งโครงการ/กิจกรรม ในการช่วยเหลือ ตลอดจนเยียวยาสภาพจิตใจของผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดประนครศรีอยุธยา เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ

ขอรับแบบเสนอโครงการได้ที่ กลุ่ม Be Kind สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

หรือสอบถามรายละเอียดที่ 0819442648 /e - mail : bekindgroup@hotmail.com

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เมื่อฉันไปเป็นโยคี

เพราะว่ารู้สึกว่าตัวเองกำลังต้องสู้กับความรู้สึกเบื่อหน่าย เมื่อยล้า ทั้งการทำงาน การเรียน และสุขภาพ ทำให้ฉันตัดสินใจสมัครไปปฏิบัติธรรมที่มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณวิทยาลัย ที่วังน้อย

ฉันขับรถไปที่มหาจุฬา ฯ ในเย็นวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน ใช้เวลาขับรถประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากลงทะเบียน เข้าที่พักแล้ว กิจกรรมต่าง ๆ เริ่มขึ้นตอนประมาณหกโมงเย็น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของฉันที่จะเริ่มฝึกปฏิบัติวิสสนากัมมัฏฐาน แล้วก็มาคนเดียวเสียด้วยสิ ถือว่าเป็นการวัดใจครั้งใหญ่ของฉันทีเดียว

ครึ่งต่อครึ่งของผู้มาปฏิบัติธรรมทั้งหมด 89 คน เป็นประเภทมาใหม่เหมือนกับฉัน ฉันเพิ่งรู้ว่าผู้ที่มาปฏิบัติธรรม นุ่งขาว ห่มขาว ถือศีลแปดอย่างฉันนี้ เรียกว่า "โยคี"

พอถึงเวลาหกโมงเย็น พระอาจารย์พาสวดมนต์ แล้วให้นั่งสมาธินิ่งๆ คิดถึงยุบหนอ พองหนอ แน่นอนว่าคนที่ไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้ ย่อมรู้สึกทรมานเป็นอย่างยิ่ง ทั้งปวดขา ปวดหลัง แต่ก็ปลอบใจตัวเองไว้ว่า มาครั้งนี้ไม่มีใครบอก หรือบังคับให้มา ตัวเองต่างหากที่อยากจะมา สืบค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ กว่าจะเลิกก็ปาเข้าไปสามทุ่ม

ฉันรีบเข้านอน ในที่นอนบาง ๆ มีมุ้งครอบ เปิดพัดลม 2 ตัวกระหน่ำเต็มที่เพราะทั้งร้อน ทั้งง่วง ไม่อาบน้ำเพราะอาบมาจากบ้านแล้ว พยายามรีบหลับ เพราะเมื่อคืนฉันมัวแต่โหลดโปรแกรมแอนตี้ไวรัส กว่าจะได้หลับก็ตีสาม ซึ่งเจ้าข้าวสวยก็เลยได้นอนดึกไปด้วย ตราบใดที่ฉันยังไม่เข้านอน ข้าวสวยก็จะไม่ยอมนอน ถ้าหล่อนง่วงจริงๆ ก็มานอนหลับๆตื่นๆ ใกล้ฉัน เป็นอย่างนี้มาเกือบ 6 เดือนแล้ว และที่กังวลเป็นที่สุดคือพรุ่งนี้ฉันจพต้องตื่นตี4 เพื่อทำวัดปฏิบัติวิปัสนาตอนตี4ครึ่ง

ในที่สุดฉันก็สามารถตื่นทันลงไปปฏิบัติธรรมโดยไม่อายใครอย่างที่กลัว ไม่รู้ว่าเพราะอาย หรืออิ่มเอมใจกันแน่

ตลอดระยะเวลาที่ฉันเป็นโยคี มันเป็นความสุขปนทุกข์ระทม เพราะฝึกปฏิบัติจริง ๆ แล้วคนที่จิตเป็นลิงวิ่งไปโน่นไปนี่ เคยกิน เคยเดินแบบเร็ว ๆทำอะไรลวกๆ ต้องพยายามทำทุกอย่างให้ช้าลง อยู่กับตัวเองให้มากที่สุด รับรู้ทุกอริยาบทของตัวเอง แถมยังต้องอดอาหารเย็น(ตั้ง1วัน)อีกด้วย ที่ทุกข์ที่สุดคืออาการปวดหลัง ปวดเข่า ปวดขา ปวดบ่า ด้วยเกิดจากโรคประจำตัว การปฏิบัติรอบละ 3 ชั่วโมง มันค่อนข้างจะหนักมากสำหรับฉัน มันทรมานเสียจนเวลาภาวนา ฉันใช้คำว่า ปวดหนอ เบื่อหนอ อยากกลับแล้วหนอ เมื่อไหร่จะเลิกหนอ ทีเดียว แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจว่าการอยู่กับตัวเองเสียบ้าง รับรู้ในสิ่งที่ตัวเองกระทำทุกขณะเสียบ้าง รวมถึงการที่ไม่ต้องพูดกับใครเลย มันเป็นความสุขสงบเสียจริง ๆ

ฉันกลับจากปฏิบัติธรรมเย็นวันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน แต่คงได้ปัญญาจากการปฏิบัติมาสัก1 ใน 100 เห็นจะได้ เพราะยังไม่ทันถึงบ้าน ฉันก็แวะสนองตันหา(แปลว่าความอยาก)ด้วยการแวะกินข้าวเย็น ที่ศูนย์การค้าระหว่างเส้นทาง พร้อมทั้งช็อปปิ้งอาหารการกินกลับบ้านหมดไปหลายร้อย เบากระเป๋าไป

ถึงแม้ฉันอาจเป็นโยคีหน้าใหม่ ที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องนัก แต่ก็แอบบอกกับตัวเองว่า จะไปเป็นโยคีใหม่ แต่ต้องเป็นหลักสูตรน้อย ๆ วันอย่างนี้นะ เอาสักปีหน้าก็แล้วกัน..วันนี้..ยังปวดขา ปวดหลังอยู่เลย